พระเมตตาอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ตอนที่ 5

“จงเปิดหัวใจของท่านเถิด” วันหนึ่งข้าพเจ้าที่กำลังเดินตามทางแคบๆ ที่ตึกแดง ซึ่งเป็นชุมชนสลัมในเขตบางซื่อ กรุงเทพฯ ข้าพเจ้าได้พบกับเด็กผู้หญิงเล็กๆ 2 คน ข้าพเจ้าถามพวกเธอว่า “ทำไมพวกเธอไม่ไปโรงเรียนหละ?” พวกเธอตอบข้าพเจ้าเพียงแค่รอยยิ้มเท่านั้น ข้าพเจ้าจึงถามต่อไปอีกว่า “พวกเธออาศัยอยู่ที่ไหน?” พวกเธอก็ชี้ให้ข้าพเจ้าดู ข้าพเจ้าก็เลยถามต่อไปอีกว่า “แล้วแม่ของพวกเธอหละอยู่ที่ไหน?” เด็กผู้หญิงคนที่โตกว่า ซึ่งอายุราวๆประมาณ 5 ปี เดินมาจับมือข้าพเจ้าและพาข้าพเจ้าเดินไป หลังจากนั้นก็บอกให้ข้าพเจ้ารออยู่ตรงนั้นก่อน เธอเข้าไปในกระท่อมโทรมๆเล็กๆหลังหนึ่งและก็เดินออกมาให้สัญญาณกวักมือเรียก ข้าพเจ้าเข้าไปในกระท่อมโทรมๆหลังนั้น ในกระท่อมหลังนั้นมีผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งเป็นแม่ของพวกเธอทั้งสองกำลังนอนอยู่บนที่นอน พวกเธอทั้งสองเข้าไปสวมกอดและจูบแม่ของพวกเธอ หลังจากนั้นก็มีผู้ชายคนหนึ่งเข้ามาในกระท่อมหลังนี้ เด็กผู้หญิงสองคนนี้ก็เลยบอกให้ข้าพเจ้าถอยห่างออกไปก่อนสักเล็กน้อย ซักพักพวกเขาก็ยิ้มแสดงความดีใจและกระโดดพลางพูดว่า “เย้…วันนี้เราจะได้ทานอาหารที่ดีและเอร็ดอร่อยกัน” หลังจากนั้นเด็กทั้งสองก็พาข้าพเจ้าไปที่บ้านของพวกเขาซึ่งทำจากไม้ที่เอามา ต่อกันเป็นแผ่น ครึ่งหนึ่งของพื้นบ้านอยู่ในโคลนตม หลังคาเต็มไปด้วยรูโหว่ ผ้าขี้ริ้วหล่นอยู่ตามพื้นแทบทุกที่ ในบ้านหลังนั้นก็มียายของเธอทั้งสองซึ่งตาบอดและกำลังนอนป่วย มีผู้ชายบางคนเมาเหล้าและกำลังนอนหลับอยู่ ขณะนั้นข้าพเจ้าจึงได้สวดภาวนาว่า “คงจะมีสักวันที่ข้าพเจ้าจะได้ทำในสิ่งที่ข้าพเจ้าวาดหวังไว้” 2-3 วันต่อมาเด็กผู้หญิงคนหนึ่งในสองคนนี้ได้โทรศัพท์มาหาข้าพเจ้าและบอก ข้าพเจ้าถ้าหากข้าพเจ้าต้องการที่จะให้เธอทั้งสองมาช่วยงานข้าพเจ้า แหละนี่แหละคือคำตอบของทั้งหมด ที่สุดข้าพเจ้าได้เปิดบ้านสำหรับเด็กผู้หญิงที่อยู่ในสลัมเป็นครั้งแรก ซึ่งต่อมาก็ถูกเรียกว่า “บ้านแห่งความหวัง” เด็ก ผู้หญิงสองคนนี้ก็เป็นเด็กสองคนแรกที่ได้เข้าไปอาศัยอยู่ในบ้านแห่งความหวัง นี้ ส่วนแม่ของพวกเขาก็เที่ยวไปจับหาผู้ชายคนนั้นคนนี้แบบไม่ซ้ำหน้า บางครั้งบางคราวแม่ของพวกเธอก็ถูกจับเข้า ไปอยู่ในเรือนจำ(คุก)เนื่องจากขายยาเสพติด(ยาม้าหรือยาบ้า) เด็กผู้หญิงทั้งสองคนนี้ซึ่งเป็นลูกของเธอต่างก็รู้สึกดีอกดีใจและมีความสุข เมื่อแม่ของพวกเธอมาเยี่ยมพวกเธอที่บ้านแห่งความหวัง […]

พระเมตตาอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ตอนที่ 4

พระเมตตาอันยิ่งใหญ่ของพระเป็นเจ้า ตอนที่ 4              จากการฝึกนั่งวิปัสนา(การนั่งสมาธิแบบชาว พุทธ)ของข้าพเจ้านี้เอง เป็นวิธีการหนึ่งที่ได้ช่วยให้ตัวข้าพเจ้าสามารถยอมรับความเป็นจริงว่า “ข้าพเจ้า ได้ทำสิ่งนี้” “ข้าพเจ้าได้ทำสิ่งนั้น” “ข้าพเจ้าเป็นสาเหตุที่ทำให้คนอื่นเจ็บปวดหรือทุกข์ทรมาน” “คนอื่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ข้าพเจ้าเจ็บปวดและทุกข์ทรมาน” “ขอให้มันดำเนินต่อไป” “มันได้เกิดขึ้น มันได้จบสิ้นลง ขอให้มันดำเนินต่อไป” “ข้าพเจ้ารู้สึกว่าตัวข้าพเจ้าเองล้มเหลวในทุกสิ่งทุกอย่าง มันได้เกิดขึ้น มันได้จบสิ้นลง ขอให้มันไปดำเนินต่อไป” ในองค์พระเยซูคริสตเจ้าทุกสิ่งทุกอย่างกลับมาบริสุทธิ์อีกครั้งหนึ่ง และในองค์พระเยซูคริสตเจ้าผู้ซึ่งว่างเปล่าไม่มีอะไร ตัวข้าพเจ้าเองก็ว่างเปล่าและไม่มีอะไรจากความปราถนาต่างๆ จากความหวาดกลัวต่างๆ พระเยซูคริสตเจ้าทรงตรัสกับข้าพเจ้าว่า “อย่า มองดูตัวเองเพียงแค่บาปต่างๆของท่านเท่านั้น แต่ให้มองดูที่เราและชื่นชมยินดีเพียงแค่ความรักของเราที่มีต่อท่าน จงมีความสุขที่ท่านได้มาอยู่กับเราและร่วมโต๊ะงานเลี้ยงกับพระบิดาของเรา” จากความว่างเปล่าไม่มีอะไรของพระเยซูเจ้านี้เองทำให้พระองค์สามารถที่จะทำ ตามน้ำพระทัยของพระบิดาได้ พระเยซูเจ้าทรงเป็นผู้นำความสมบูรณ์ครบครันตามแบบการรู้แจ้งเห็นจริงของพระ พุทธเจ้า พุทธศาสนาบอกว่า มนุษย์มีตัวตนของตัวเอง ซึ่งไม่ได้มาจากตัวของมนุษย์เอง ราคะตัณหาต่างๆที่เกิดจากความมีอิสระเสรีส่วนตัวของข้าพเจ้า (การถูกประจญล่อลวงของอาดัมและเอวา) นับว่าเป็นสิ่งที่โง่เขลาและได้นำความทุกข์ทรมานและความเจ็บปวดมาสู่ ข้าพเจ้า อีกทั้งราคาะตัณหาต่างๆเพื่อการดำรงชีวิตอยู่ของข้าพเจ้าและเพื่อทุกสิ่ง ทุกอย่างนั้นสามารถนำความสุขความชื่นชมยินดีมาสู่ข้าพเจ้าเพียงแค่ในบัดนี้ และเดี๋ยวนี้เท่านั้น (ดูตัวอย่างการถูกประจญ 4 ประการของพระเยซูเจ้า) แต่น่าเสียดายที่มันเป็นสิ่งที่โง่เขลาสำหรับข้าพเจ้า ราคาะตัณหาต่างๆจากการมีอิสระเสรีเพื่อการดำรงชีวิตอยู่และเพื่อทุกสิ่ง ทุกอย่างนั้นสามารถนำความสุขความพอใจในทันทีทันใดจริง แต่ก็ก่อให้เกิดความน่าเกลียดน่าชังและเกิดความรุนแรง ดังที่จะพบได้ในหนังสือปฐมกาลบทที่ 4 ซึ่งเป็นเรื่องราวของคาอินและอาแบล (พี่ชายฆ่าน้องชาย) ในองค์พระเยซูเจ้าความโง่เขลาต่างๆเหล่านี้ได้ถูกกำจัดและถูกทำลายให้หมด […]

พระเมตตาอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ตอนที่ 3

พระเมตตาอันยิ่งใหญ่ของพระเป็นเจ้า ตอนที่ 3     ในระหว่างที่ข้าพเจ้าพักผ่อนอยู่กรุงโรม ประเทศอิตาลี่ ที่ศูนย์ฝึกอบรมชีวิตจิตหรือ ชีวิตภายในสำหรับบรรดามิชชันนารี่ ซึ่งใกล้กับมหาวิหารนักบุญเปโตร ข้าพเจ้ารู้สึกถึงความเจ็บปวดอย่างลึกซึ้งภายในจิตใจของข้าพเจ้า มันไม่ใช่เป็นความเจ็บปวดฝ่ายร่างกาย แม้ว่าร่างกายของข้าพเจ้าจะอ่อนแอและเจ็บปวดก็ตาม ข้าพเจ้ารู้ว่า สิ่งต่างๆเหล่านี้มันมาจากพระเป็นเจ้า แต่ข้าพเจ้าไม่รู้และไม่ทราบว่ามันคืออะไรกันแน่และมันหมายความว่าอะไรกัน แน่ ข้าพเจ้ารู้แต่เพียงสิ่งเดียวคือว่าไม่มีใครสามารถทุเลา บรรเทาหรือเอาความเจ็บปวดต่างๆเหล่านี้ออกไปจากตัวของข้าพเจ้าได้ นอกจากบุคคลที่ประทานหรือมอบความเจ็บปวดต่างๆเหล่านี้ให้กับตัวข้าพเจ้าเอง ข้าพเจ้าพยายามใช้เวลาส่วนมากกับการรำพึงและสวดภาวนา หลังจากหลายปีผ่านไป ข้าพเจ้าจึงเข้าใจและคิดได้ว่าพระเป็นเจ้านั่นเองคือยาสมานแผลที่ดีที่สุด ที่จะสามารถทุเลา บรรเทาและรักษาความเจ็บปวดต่างๆสำหรับข้าพเจ้าได้ หรือเป็นพระเป็นเจ้าเองที่เป็นเสมือนดาบที่ฟันข้าพเจ้าและรักษาข้าพเจ้าด้วย ในเวลาเดียวกัน ในเดือนตุลาคมปี ค.ศ. 1987 เมื่อข้าพเจ้าได้รับการอนุญาตจากคุณพ่อมหาธิการเจ้าคณะปีเมของข้าพเจ้าให้ กลับไปทำงานแพร่ธรรมต่อที่ประเทศไทย ข้าพเจ้าได้รับการร้องขอให้ประจำอยู่ที่โบสถ์ใหม่ในกรุงเทพฯ ซึ่งไม่มีหน้าที่รับผิดชอบใดๆโดยเฉพาะ นอกจากการพักผ่อนและรักษาสุขภาพร่างกายของข้าพเจ้าเท่านั้น และคุณพ่อมหาธิการเจ้าคณะบอกให้ข้าพเจ้าพยายามแสวงหาคุณพ่อวิญญาณรักษ์และ นักจิตวิทยาที่ดีสำหรับช่วยเหลือและเยียวยาตัวข้าพเจ้าเอง จากการที่ได้ประสบกับปัญหาต่างๆมากมาย รวมทั้งเรื่องโรคหัวใจของข้าพเจ้าด้วย และข้าพเจ้าก็ได้เริ่มแสวงหาในทันทีทันใดที่มาถึงประเทศไทย ข้าพเจ้าได้พักอยู่ที่บ้านเข้าเงียบที่เชียงใหม่ เป็นระยะเวลา 1 เดือน และหลังจากนั้นข้าพเจ้าก็จะต้องไปที่บ้านเข้าเงียบที่เชียงใหม่เป็นประจำทุก เดือนภายในระยะ 6 เดือน อาศัยคุณพ่อวิญญาณรักษ์และนักจิตวิทยาที่นี่เองได้ช่วยข้าพเจ้าให้สามารถ วิเคราะห์ชีวิตในอดีตของข้าพเจ้าที่ผ่านมา โดยอาศัยการสวดภาวนาและการรำพึงไตร่ตรอง บางครั้งข้าพเจ้าสวดภาวนา 3 วัน 3 คืนเต็มๆ […]

พระเมตตาอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ตอนที่ 2

พระเมตตาอันยิ่งใหญ่ของพระเป็นเจ้า ตอนที่ 2 ในเดือนพฤศจิกายน ปี ค.ศ. 1978 คุณพ่ออธิการคณะปีเมของข้าพเจ้าได้ขอให้ข้าพเจ้าไปเป็นธรรมฑูตหรือมิชชันนา รี่ผู้แพร่ธรรมที่ประเทศไทย ข้าพเจ้าได้เรียนภาษาไทยและได้มีประสบการณ์หนึ่งในช่วงเวลา 3 เดือนที่ข้าพเจ้าไปพักอาศัยอยู่ในวัดกับพระของศาสนาพุทธ(ครูบา) ที่วัดอุโมงค์ จังหวัดเชียงใหม่ ในปี ค.ศ. 1980 พระสังฆราช โรเบิร์ต รัตน์ บำรุงตระกูล ประมุขของสังฆมณฑลเชียงใหม่ในเวลานั้น ได้ขอให้ข้าพเจ้าไปทำงานอภิบาลแพร่ธรรมที่จังหวัดลำปาง ข้าพเจ้าได้ทำงานอย่างหนักและทุ่มเทอย่างเต็มที่เพื่อการประกาศข่าวดีให้กับ ประชาชนที่นั่น รวมทั้งดูแลเรื่องทุกข์สุขของชาวบ้านที่นั่นด้วย ในเวลาเดียวกัน ข้าพเจ้าก็รู้สึกว่าตัวเองเต็มไปด้วยความขัดแย้งกับพระเป็นเจ้า กับตัวเอง และกับประชาชนอยู่ตลอดเวลา สุดท้ายก็ทำให้ข้าพเจ้าเกิดเป็นโรคหัวใจในเดือนสิงหาคม ปี ค.ศ. 1986 หลังจากนั้น 9 ปีผ่านไปตั้งแต่ประสบการณ์แรกของข้าพเจ้ากับคำพูดที่ว่า “เรารักท่าน พร้อมกับบาปของท่าน” ตลอดระยะเวลา 9 ปีที่ผ่านมา ข้าพเจ้าพยายามที่จะร่วมมือในการตอบรับต่อความรักของพระเป็นเจ้า แต่ก็ไม่เคยประสบผลสำเร็จเลย ในความเป็นจริงแล้วดูเหมือนว่า ยิ่งข้าพเจ้ามีความพยายามมากเท่าใดข้าพเจ้าก็ยิ่งไม่สามารถประสบผลสำเร็จได้ เลย ดูเหมือนว่า ข้าพเจ้ากลายเป็นคนบาปมากยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อนด้วยซ้ำไป ที่สุด ข้าพเจ้าได้ค้นพบตัวเองว่า ครั้งหนึ่งข้าพเจ้ารู้สึกมั่นใจในความรักที่พระเป็นเจ้าทรงมีต่อข้าพเจ้า อยู่เสมอ ข้าพเจ้าจึงมีอิสระและได้กระทำบาปผิดต่อพระองค์มากยิ่งขึ้น แต่อย่างน้อยที่สุด […]

พระเมตตาอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ตอนที่ 1

พระเมตตาอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ตอนที่ 1 “เรารักท่าน พร้อมกับบาปของท่าน”       ในปี ค.ศ. 1997 เมื่อข้าพเจ้าอายุได้ 31 ปี และบวชเป็นพระสงฆ์มาได้ประมาณ 5 ปี คุณพ่อวิญญาณรักษ์ของข้าพเจ้าที่มหาวิทยาลัยแมรี่เกลด ในบ้านเณรของคณะปีเม (คณะธรรมฑูตแห่งกรุงมิลาน ประเทศอิตาลี่) ที่เมืองดิทรอยท์ รัฐมิซิแกน ประเทศสหรัฐอเมริกา      คุณพ่ออธิการบ้านเณรของคณะปีเมที่นี่ได้ขอให้ข้าพเจ้าเป็นผู้ให้คำแนะนำหรือ เป็นคุณพ่อวิญญาณรักษ์ให้กับบรรดาสามเณรที่เรียนจบระดับมหาวิทยาลัยของบ้าน เณรแล้ว และจะเข้าสู่ปีแห่งการฝึกฝนชีวิตจิตหรือชีวิตภายใน เพื่อเตรียมตัวที่จะถวายตัวครั้งแรกในคณะปีเมต่อไป      เพื่อที่จะเตรียมตัวข้าพเจ้าเองสำหรับงานชิ้นสำคัญนี้ ข้าพเจ้าได้ขออนุญาตจากคุณพ่ออธิการเจ้าคณะของคณะปีเมในสหรัฐอเมริกา เพื่อที่จะไปเข้าเงียบ 30 วันตามรูปแบบของนักบุญอิกญาซีโอ ผู้ก่อตั้งคณะเยซูอิต ที่ลาโคลอมบีแอเร ซึ่งเป็นบ้านสำหรับการเข้าเงียบของคณะเยซูอิต      หลังจาก 10 วันแรกของการเข้าเงียบที่นั่น คุณพ่อผู้นำเทศน์การเข้าเงียบให้กับข้าพเจ้าได้บอกข้าพเจ้าว่า “อาด รีอาโน, เธอยังไม่ได้เริ่มต้นการเข้าเงียบเลยนะ เพราะดูเหมือนว่าเธอกำลังวุ่นวายกับการเขียนและจัดเตรียมเอกสารต่างๆ รวมทั้งคำแนะนำอื่นๆสำหรับบรรดาสามเณรที่เธอกำลังจะไปให้คำแนะนำหรือเป็นคุณ พ่อวิญญาณรักษ์ให้กับเขา เธอไม่ได้ให้ความสำคัญหรือตั้งใจในการที่จะสร้างความสนิทสัมพันธ์กับพระเยซู เจ้า พ่อขอแนะนำว่าในขณะที่เธอกำลังรำพึงภาวนาถึงพระวาจาของพระเจ้าในแต่ละตอน นั้น พ่อขอให้เธอพยายามอยู่กับปัจจุบัน อยู่กับผู้คนหรือประชาชน และพยายามเข้าให้ถึงความรู้สึกของพวกเขาว่าพวกเขากำลังรู้สึกอะไรและเป็น […]

บทความของมิสชั่น ฉบับที่15

การเว้นวรรคงานธรรมทูต           สวัสดีครับผู้อ่านที่รัก ในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา ในกัมพูชามีการเปลี่ยนแปลงจำนวน ธรรมทูตอยู่พอสมควร ซึ่งนับเป็นช่วงเวลาที่สำคัญของธรรมทูตมาก ในธรรมทูตของคณะธรรมทูตไทย ได้พูดถึงการหยุดพักจากการงานในระยะเวลาหนึ่ง เพื่อการการศึกษาต่อ ไว้ว่า ข้อ D 47 เลข 1 ไว้ว่า “การอบรม อย่างต่อเนื่องรวมไปถึงมุมมองต่างๆของการฝึกอบรมธรรมทูตเข้าด้วยเช่นการอบรม ในด้านฝ่ายจิตเทววิทยาด้านงานอภิบาลและด้านมนุษยศาสตร์         การปรับปรุงงานอภิบาลให้ทันสมัยของธรรมทูตจะต้องทำได้ ในบริบทของพระศาสนจักรท้องถิ่นที่พวกเขาและหมู่คณะทางานอยู่อย่างไรก็ตามการ ฟื้นฟูในด้านฝ่ายจิตนั้นต้องคู่ควรกับการเรียกร้องพื้นฐานของคณะฯเป้าหมาย ทั้งสองจะต้องเสริมความสมบูรณ์ซึ่งกันและกัน” ซึ่งในแต่ละคณะชีวิตนักบวช หรือคณะชีวิตผู้แพร่ธรรม ก็มักจะมีข้อกำหนดนี้อยู่ด้วย           การเปลี่ยนแปลงนี้ เคยเกิดกับผมโดยส่วนตัว เมื่อต้องออกจากพื้นที่งานด้วยความอาลัย ด้วย ความห่วงใย ด้วยความกังวล เพราะอะไรหลายๆ อย่างก็ยังไม่เสร็จเรียบร้อยดี แต่เมื่อผู้ใหญ่ของคณะ เห็นว่า ผมควรออก ก็ทำให้ผมเตรียมรับสิ่งใหม่ๆจากพระเจ้า ในช่วงการศึกษาต่อในต่างประเทศ ในกลุ่มของแขวงกัมพูชา เราเพิ่งทำการเลี้ยงส่ง ให้กับพ่อไตรรงค์ มุลตรี สงฆ์ ธรรมทูตสังกัด สังฆมณฑลราชบุรี เป็นพระสงฆ์หนุ่มที่กระตือรื้อร้นในงานธรรมทูต เป็นคนที่มีความริเริ่มสร้างสรรค์ พ่อไตรรงค์ ได้รับมอบหมายงานล่าสุดจากทางมิสซังคือ การประจำอยู่ที่ จ.ตาแก้ว งานด้านอภิบาล […]

บทความของมิสชั่น ฉบับที่14

ใส่เกียร์เดินหน้า           ช่วงเดือนที่ผ่านมา มีประชุมเข้าเงียบประจำปี คณะธรรมทูตไทย พวกเราจากหลายเขตงาน ธรรมทูต ก็ได้มารวมตัวกันอีกครั้งหนึ่ง สามวันแรกกับการประเมินผล การไตร่ตรองชีวิตธรรมทูต วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม 2014 เป็น วันครอบครัวธรรมทูต มีพี่น้องสัตบุรุษและเณรของคณะฯ ได้มาร่วม แบ่งปันกิจกรรมต่างๆ ที่ได้ทำ มีพระคุณเจ้าเกรียงศักดิ์ โกวิทวาณิช เป็นประธานในพิธีขอบพระคุณ หลังจากนั้นเราใช้เวลาเข้าเงียบอีกสามวัน โดยพระคุณเจ้าวีระ อาภรณ์รัตน์  มีเรื่องน่าสนใจมากมาย โดยเฉพาะ สมณลิขิตของพระสันตะปาปา “ความชื่นชมยินดีแห่งพระวรสาร” (EvangiliiGuadium) ที่ ช่วย ให้เราเปิดตัวเองออกต่อบุคคลรอบข้าง สังคม เป็นพระศาสนจักรที่เปื้อนฝุ่นและเจ็บตัว เพราะทำงาน ดีกว่าคิดแต่เรื่องภายในตัวเอง พระคุณเจ้าเอาสื่อสำหรับงานธรรมทูตหลายอย่างมาแบ่งปัน  หลังจากนั้น พวกเรา ก็แยกย้ายออกไปพื้นที่งานของแต่ละคนอีกครั้ง            ผมได้มีโอกาสไปเทศน์มิสชั่น ที่วัดพระนามเยซูที่ชลบุรีหนุนใจพี่น้องสัตบุรุษ ให้พยายาม ก้าวออกไปหาคนต่างศาสนารอบข้าง คุณพ่อจิรพันธ์ เจ้าอาวาสให้ความร่วมมือดีมาก ช่วยแนะนำ และให้พี่น้องสัตบุรุษมีน้ำใจ […]

บทความของมิสชั่น ฉบับที่ 13

แด่คุณพ่อเดอนิสที่จากไป พี่น้องที่รัก ครับ ธรรมทูตคนหนึ่งแม้จะทำงานจนจบชีวิต แต่งานธรรมทูตของพระศาสนจักร จะต่อเนื่องไปอย่างไม่มีวันจบ ในประเทศมิสซังทั่วโลก มีการเสียชีวิตของธรรมทูตอยู่เสมอ ด้วยสาเหตุ แตกต่างกันไป สำหรับประเทศกัมพูชา นับตั้งแต่เปิดประเทศเป็นต้นมาหลังสงคราม พระศาสนจักร ค่อยๆ ก่อร่างสร้างตัวด้วยความเสียสละของธรรมทูตทั้งที่เป็นคณะชีวิตแพร่ธรรมและ คณะนักบวช จากประเทศต่างๆ ทั่วโลก ในเขตสามมิสซัง ตลอดสามสิบปีที่ผ่านนับแต่การเลือกตั้งครั้งแรกในปี 1993 มีธรรมทูตที่เสีย ชีวิตหลายท่าน เช่น คพ.มารีอาโน(PIME) ด้วยโรคหัวใจวาย, คพ.เวียนเนย์(MEP) ด้วยโรคชรา เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่เสียชีวิตที่ประเทศบ้านเกิด       แต่ในกรณีของคุณพ่อเดอนิส นับเป็นกรณีแรก ซึ่งค่อนข้างขลุกขลัก และฉุกละหุก มาก เนื่องจากคุณพ่อได้เสียชีวิต เมื่อคืนวันพฤหัสฯที่ 19 ธันวาคม 2013 ก่อนคริสต์มาสไม่กี่วัน ซึ่งใน พินัยกรรมคุณพ่อได้เขียนไว้ให้ ฌาปณกิจที่กัมพูชา  ดังนั้น กำหนดการแรกคือ วันจันทร์ที่ 23 ธันวาคม แต่เนื่องจากส่วนใหญ่กำลังเตรียมฉลองคริสต์มาส และไม่สามารถขออนุญ าตเจ้าหน้าที่ได้ทัน […]

บทความของมิสชั่น ฉบับที่ 12

การภาวนาเพื่อกระแสเรียก           ตลอดเดือนที่ผ่านมา คงมีไม่ข่าวใดที่น่ายินดีไปกว่าการที่พระศาสนจักรคาทอลิกกัมพูชา ได้มีพิธีบวชสังฆานุกรใหม่สององค์ คือ บร.มวง รัวะฮฺ มาจากมิสซังพระตะบอง และ บร.พาน โบเร่ย จากมิสซังกัมปงจาม เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2013 บราเดอร์ทั้งสองคนมาจากครอบครัวที่เป็นกัมพูชา มากๆ ซึ่งเป็นเรื่องน่ายินดี เนื่องจากในกัมพูชาคริสตชนส่วนใหญ่เป็นเวียดนาม จนบางครั้งก็อึดอัดที่จะ บอกว่า พระศาสนจักรคาทอลิกเป็นของคนเขมร อย่างไรก็ตามแต่เราก็พยายามให้มีพระสงฆ์นักบวช พื้นเมืองมากขึ้น ซึ่งนี่ก็เป็นพันธกิจอันดับแรกๆของงานธรรมทูต           เราไม่ได้สังฆานุกรใหม่ในวันเดียว แต่เป็นการลงทุนลงแรง ร่วมมือร่วมใจของผู้เกี่ยวข้องทุกคน ตั้งแต่ระดับผู้ใหญ่ลงมาในหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งในธรรมชาติของธรรมทูตที่นี่ คนทำงาน จะมาจาก คณะนักบวชและคณะแพร่ธรรม ที่หลากหลาย ดังนั้น นี่เป็นอีกความท้าทายหนึ่ง ที่บรรดาพระสงฆ์ และนักบวชตามวัดต่างๆ จะสนับสนุนกระแสเรียก ที่เป็นของพระศาสนจักรท้องถิ่น ซึ่งอีกส่วนหนึ่ง เราก็เคารพการตัดสินใจของเยาวชนเหล่านั้นด้วยว่า พวกเขาจะเลือกกระแสเรียกแบบใดด้วย           แต่สิ่งที่เห็นว่าเป็นการท้าทายคือ การทำอย่างไร ให้มีกระแสเรียกต่อเนื่อง ในมิสซังอื่นๆ ส่วนใหญ่ จะหามาจากเยาวชนที่มีนิสัยติดวัดติดวา ทำงานกับพระสงฆ์และนักบวช บางคนก็มาช่วย […]

บทความของมิสชั่น ฉบับที่ 11

กัมพูชา ๒๐๑๓           เดือนตุลาคม ๒๐๑๓ เป็นเดือนที่ผมกลับมาเริ่มต้นงานธรรมทูตอีกครั้ง หลังจากหายหน้าหายตา ไปสามปี ที่กรุงโรม กลับมาพร้อมวัยวุฒิ และคุณวุฒิ ที่เพิ่มขึ้น แม้หน้าตาจะไม่เปลี่ยนไปมาก แต่เส้นผม ก็มีสีดอกเลามากขึ้น และความรู้ที่ได้ร่ำเรียน ซึ่งบวกเพิ่มกับความตั้งใจอีกครั้งที่จะรับใช้พระศาสนจักร ที่เพิ่งเกิดใหม่นี้ ซึ่งเมื่อหลายอย่างเปลี่ยน ช่วงนี้ จึงเป็นช่วงที่ผมต้องอัพเกรดข้อมูลอะไร ต่อมิอะไร หลายๆ อย่าง รวมทั้งรูปแบบการดำเนินชีวิตและการทำงานด้วย มีเรื่องราวมากมายตลอดสามปีที่ผ่านจากปากของคนที่รู้จักมักคุ้น ทั้งเพื่อนพี่น้องธรรมทูตไทยที่ ทำงานบากบั่นต่อสู้ตลอดมา กับเพื่อนธรรมทูตที่เป็นฆราวาส นักบวช และพระสงฆ์ ที่แบ่งปัน ประสบการณ์ และเรื่องราวความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ให้ผมได้ฟังอย่างต่อเนื่อง           ถ้าดูจากภายนอก เขตสังฆรักษ์พนมเปญ (Vicariate of Phnom Penh) ซึ่ง ผมทำงานอยู่ มีการเปลี่ยนแปลงไปพอสมควรทั้งทางกายภาพ ผู้คน และพระศาสนจักร ที่พนมเปญ เริ่มมีถนนลอยฟ้า ตามที่เขาเข้าใจคือ “ถนนบนอากาศ” ก็คือ สะพานข้ามทางแยกต่างระดับเพิ่มขึ้นสองสามแห่ง แก้ปัญหา รถติดซึ่งนับวันจะวุ่นวายมากขึ้น […]

ปิดโหมดสีเทา