พระเมตตาอันยิ่งใหญ่ของพระเป็นเจ้า ตอนที่ 2
ในเดือนพฤศจิกายน ปี ค.ศ. 1978 คุณพ่ออธิการคณะปีเมของข้าพเจ้าได้ขอให้ข้าพเจ้าไปเป็นธรรมฑูตหรือมิชชันนา รี่ผู้แพร่ธรรมที่ประเทศไทย ข้าพเจ้าได้เรียนภาษาไทยและได้มีประสบการณ์หนึ่งในช่วงเวลา 3 เดือนที่ข้าพเจ้าไปพักอาศัยอยู่ในวัดกับพระของศาสนาพุทธ(ครูบา) ที่วัดอุโมงค์ จังหวัดเชียงใหม่
ในปี ค.ศ. 1980 พระสังฆราช โรเบิร์ต รัตน์ บำรุงตระกูล ประมุขของสังฆมณฑลเชียงใหม่ในเวลานั้น ได้ขอให้ข้าพเจ้าไปทำงานอภิบาลแพร่ธรรมที่จังหวัดลำปาง ข้าพเจ้าได้ทำงานอย่างหนักและทุ่มเทอย่างเต็มที่เพื่อการประกาศข่าวดีให้กับ ประชาชนที่นั่น รวมทั้งดูแลเรื่องทุกข์สุขของชาวบ้านที่นั่นด้วย ในเวลาเดียวกัน ข้าพเจ้าก็รู้สึกว่าตัวเองเต็มไปด้วยความขัดแย้งกับพระเป็นเจ้า กับตัวเอง และกับประชาชนอยู่ตลอดเวลา สุดท้ายก็ทำให้ข้าพเจ้าเกิดเป็นโรคหัวใจในเดือนสิงหาคม ปี ค.ศ. 1986
หลังจากนั้น 9 ปีผ่านไปตั้งแต่ประสบการณ์แรกของข้าพเจ้ากับคำพูดที่ว่า “เรารักท่าน พร้อมกับบาปของท่าน” ตลอดระยะเวลา 9 ปีที่ผ่านมา ข้าพเจ้าพยายามที่จะร่วมมือในการตอบรับต่อความรักของพระเป็นเจ้า แต่ก็ไม่เคยประสบผลสำเร็จเลย ในความเป็นจริงแล้วดูเหมือนว่า ยิ่งข้าพเจ้ามีความพยายามมากเท่าใดข้าพเจ้าก็ยิ่งไม่สามารถประสบผลสำเร็จได้ เลย ดูเหมือนว่า ข้าพเจ้ากลายเป็นคนบาปมากยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อนด้วยซ้ำไป
ที่สุด ข้าพเจ้าได้ค้นพบตัวเองว่า ครั้งหนึ่งข้าพเจ้ารู้สึกมั่นใจในความรักที่พระเป็นเจ้าทรงมีต่อข้าพเจ้า อยู่เสมอ ข้าพเจ้าจึงมีอิสระและได้กระทำบาปผิดต่อพระองค์มากยิ่งขึ้น แต่อย่างน้อยที่สุด นี่ก็ถือว่าเป็นขั้นตอนหนึ่งในกระบวนการของการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นในการ ตระหนักและรับรู้ถึงความหมายของการถูกรักโดยพระเป็นเจ้า แต่ทุกๆครั้งที่ข้าพเจ้ากระทำบาปผิด ข้าพเจ้ามักจะกลับไปหาองค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่เสมอ สุภาพ ถ่อมตน สำนึกผิดต่อหน้าพระองค์และขอรับการอภัยบาปจากพระองค์ พระองค์ก็ทรงตอบข้าพเจ้าแต่เพียงว่า “เรารักท่าน พร้อมทั้งบาปของท่าน” จาก พระวาจาของพระเป็นเจ้าประโยคนี้เอง แทนที่จะนำความสงบสันติมาสู่จิตใจข้าพเจ้า ตรงกันข้าม กลับทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกเจ็บปวดมากขึ้น โกรธมากขึ้น และผิดหวังกับตัวเองมากยิ่งขึ้น ข้าพเจ้าไม่สามารถยอมรับตัวข้าพเจ้าเองได้ว่าข้าพเจ้าเป็นคนบาป ข้าพเจ้าต้องการให้พระเป็นเจ้ารักข้าพเจ้าเพราะว่าข้าพเจ้าเป็นคนดี ไม่ใช่เพราะว่าข้าพเจ้าเป็นคนบาป ข้าพเจ้าไม่สามารถเข้าใจถึงความรักอันยิ่งใหญ่และความรักอันไม่มีเหตุผลของ พระเป็นเจ้าได้ แม้ว่าข้าพเจ้าจะเอารัดเอาเปรียบต่อความรักของพระองค์ที่มีต่อข้าพเจ้ามาก น้อยเพียงใด แต่พระเป็นเจ้าก็ทรงให้คำตอบเดิมกับข้าพเจ้าอยู่เสมอว่า “เรารักท่าน พร้อมทั้งบาปของท่าน” สุดท้าย ข้าพเจ้าก็ได้ค้นพบว่า ข้าพเจ้าไม่สามารถรักพระเป็นเจ้าและปฎิบัติให้เหมือนกับที่พระองค์ทรง ปรารถนาต่อข้าพเจ้าได้ ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงได้ถามพระองค์ในการที่จะทำสิ่งใดก็ได้ที่จะสามารถช่วยข้าพเจ้า ให้ยอมรับกับความรักที่บอกว่า “ข้าพเจ้ารักท่าน พร้อมทั้งบาปของท่าน” และเพื่อที่ข้าพเจ้าจะสามารถรักพระเป็นเจ้าตอบกลับคืนด้วย ในความเป็นจริง พระเยซูเจ้าไม่เคยถามหรือขอร้องให้ข้าพเจ้ากระทำสิ่งใดเลย พระองค์เพียงแต่บอกกับข้าพเจ้าว่า “ข้าพเจ้ารักท่าน พร้อมทั้งบาปของท่าน”
จากคำกล่าวของพระเยซูเจ้าประโยคนี้เอง ท่านสามารถยอมรับตัวท่านเองพร้อมทั้งบาปทั้งหมดที่มีอยู่ในตัวท่านได้ไหม? ท่านสามารถยอมรับความรักของพระเป็นเจ้าที่มีต่อท่านในฐานะที่ท่านยังเป็นคน บาปอยู่ได้ไหม? มีความลำบากมากน้อยเพียงใดในการที่จะยอมรับกับสิ่งเหล่านี้? ที่สุด ข้าพเจ้าก็ได้สวดภาวนาว่า “ข้าแต่พระเยซูเจ้า โปรดกรุณากระทำบางสิ่งบางอย่างต่อข้าพเจ้าเถิด ไม่ว่าจะทำให้ข้าพเจ้าเจ็บไข้ได้ป่วยหรือทำให้ข้าพเจ้าตาย แต่โปรดกรุณาอย่าปล่อยให้ข้าพเจ้าอยู่กับสถานการณ์ความเจ็บปวด ความทุกข์ทรมานอันแสนสาหัสนี่เถิด”
ในขณะที่ข้าพเจ้าเกือบจะตายด้วยโรคหัวใจ ข้าพเจ้าพบว่า พระเยซูเจ้าได้ทรงกระทำบางสิ่งบางอย่างในชีวิตข้าพเจ้า ทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจว่า ความตายฝ่ายร่างกายช่างหวานหอมและทำให้เป็นอิสระเสียจริงหนอ แต่หลังจากนั้น ข้าพเจ้าก็รู้ตัวเองว่าข้าพเจ้ากำลังจะตาย ข้าพเจ้าได้สวดภาวนาว่า “ข้า แต่พระเป็นเจ้าองค์พระเป็นเจ้าของข้าพเจ้า โปรดปล่อยให้ข้าพเจ้าตายเสียเถอะ มันน่าจะดีกว่าที่จะปล่อยให้ข้าพเจ้าตายเสียตั้งแต่ตอนนี้ ยังดีกว่าที่จะให้ข้าพเจ้าต้องเผชิญหน้ากับปัญหาต่างๆ ความขัดแย้งต่างๆ ความเจ็บปวดต่างๆ ความรับผิดชอบต่างๆ ความอับอายขายหน้า และความผิดพลาดไม่ประสบผลสำเร็จต่างๆ โปรดปล่อยให้ข้าพเจ้าตายเสียเถอะ”
ในช่วงเวลานั้นเองระหว่างความตายและชีวิต บาปผิดทั้งหมดของข้าพเจ้าถูกปรากฎและแสดงออกมาให้เห็นอย่างชัดเจนชัดแจ้ง ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงได้สัมผัสกับความอ่อนแอของข้าพเจ้าอย่างลึกซึ้งและได้สัมผัสกับ ส่วนลึกของความอ่อนแอที่มีอยู่ในตัวของข้าพเจ้าเอง
หลังจาก 12 วัน ที่ข้าพเจ้านอนอยู่ในห้องฉุกเฉินหรือห้องไอซียู คุณหมอบอกข้าพเจ้าว่าทุกสิ่งทุกอย่างเรียบร้อย ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว เพียงแต่ข้าพเจ้าจะต้องพักผ่อนเป็นระยะเวลานานพอสมควรก่อนที่จะไปทำงานต่อ ได้ แต่ในทันใดนั้นเอง สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นกับข้าพเจ้า เมื่อปรากฎว่าข้าพเจ้าเป็นไส้เลื่อน และข้าพเจ้าก็ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลอีกครั้งหนึ่งเพื่อรับการบำบัดรักษาโรค ไส้เลื่อนของข้าพเจ้าประมาณ 40 วัน ที่ข้าพเจ้าจะต้องนอนอยู่ในโรงพยาบาล ในช่วงเวลานี้เอง ข้าพเจ้าเริ่มอ่านพระคัมภีร์ ตอนที่ว่า “เมื่อ แรกเริ่มนั้น พระเจ้าทรงสร้างฟ้าและแผ่นดิน แผ่นดินยังเป็นที่ร้างไร้รูปร่าง ความมืดมิดปกคลุมอยู่เหนือทะเลลึก และลมพายุแรงกล้า พัดอยู่เหนือน้ำ”(ปฐก.1:1-2) ทันทีทันใดนั้นเอง ข้าพเจ้าพบว่า ข้าพเจ้าเองก็คือแผ่นดินที่ร้างไร้รูปร่าง, สับสนไร้ระเบียบ และเต็มไปด้วยความมืดมิดปกคุลม แต่พระเป็นเจ้าก็ยังทรงสร้างข้าพเจ้ามาและช่วยข้าพเจ้าให้รอด ดังที่พระองค์ทรงตรัสว่า “จงมีความสว่างและความสว่างก็อุบัติขึ้น” (ปฐก.1:3) ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ข้าพเจ้ารู้สึกว่า ข้าพเจ้าถูกชี้นำและนำทางด้วยพระหัตถ์ของพระเจ้า แต่ข้าพเจ้าก็ยังคงเต็มไปด้วยความหวาดกลัว โดยเฉพาะในเวลากลางคืนเมื่อความมืดปกคลุมและภาพลวงตาที่ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึก กลัวความตายที่กำลังย่างกรายเข้ามาหาข้าพเจ้า ในที่สุด ข้าพเจ้าได้พบกับบทเพลงสดุดีบทหนึ่งข้อหนึ่งซึ่งเป็นบทเพลงสดุดีที่ดูเหมือน ว่าปลอบโยนปลอบใจและให้กำลังใจต่อข้าพเจ้ามากทีเทียว มันเป็นเสียงที่มาถึงข้าพเจ้าโดยผ่านทางความรู้สึกของข้าพเจ้า นั่นคือ “ข้าพเจ้าคร่ำครวญจนหมดแรงหลั่งน้ำตาเปียกหมอน น้ำตาชุ่มที่นอนทุกค่ำคืน” (สดด.6:6) ทุกครั้งที่ข้าพเจ้าอ่านพระคัมภีร์ ข้าพเจ้าพบว่า ประสบการณ์ของข้าพเจ้าก็เป็นเหมือนกับพระวาจาของพระเป็นเจ้า และ พระเยซูเจ้าเองก็รู้สึกในทำนองเดียวกันนี้เอง