โครงการอบรมอาสาสมัครฆราวาสประกาศข่าวดี รุ่นที่ 3
โครงการอบรมอาสาสมัครฆราวาสประกาศข่าวดี รุ่นที่ 3
โครงการอบรมอาสาสมัครฆราวาสประกาศข่าวดี รุ่นที่ 3
โครงการอบรมอาสาสมัครฆราวาสประกาศข่าวดี รุ่นที่ 2
โครงการอบรมอาสาสมัครฆราวาสประกาศข่าวดี รุ่นที่ 1
สังฆานุกร เปโตร บุญธรรม แหวนฉิมพลี ณ สปป ลาว{gallery}picture/br.bunthaminlaos/2012{/gallery}
ซิสเตอร์ มารีอา รุ่งทิพย์ พัฒนภิรมย์ ณ หอพักมารีย์พิทักษ์ 2012 {gallery}picture/sr.rungthip/2013{/gallery}
ซ. เวโรนีกา และซ.เบอร์นาร์ด ท่านทั้งสองเป็นผู้ร่วมบุกเบิก ปฐมฤกษ์งานธรรมทูตอุดรทิศ ซ. เวโรนีกา ซ.เบอร์นาร์ดมอบชีวิต ประกาศพระคริสต์ชนเผ่าม้งให้ยลยิน ซ.เวโรนีกา เปี่ยมสุภาพเมตตาจิต ใจเป็นมิตรเอื้อเฟื้อรักศาสตร์ศิลป์ ใส่ใจเยี่ยมผู้ยากไร้เป็นอาจิณ ไม่หยุดนิ่งใฝ่เรียนรู้วิทยาการ ท่านมีความกระตือรือล้นตื่นตัวเสมอ แต่ไม่เผลอละเลยชีวิตจิต ชอบรำพึงชอบภาวนา ใคร่ครวญคิด มีชีวิตสนิทตามน้ำพระทัย ซ.เบอร์นาร์ดคล่องแคล่วกระฉับกระเฉง ไม่กลัวเกรงหน้าอินทร์หน้าพรหมไหน รักสะอาดรักระเบียบรักวินัย รักต้นไม้รักปักผ้าขายเป็นทุน ท่านคล่องแคล่วภาษาอังกฤษเป็นเบอร์หนึ่ง เป็นที่พึ่งหาปัจจัยมาเกื้อหนุน ช่วยเชื่อมโยงสิงคโปรมาเจือจุน จิตการุณไม่เคยหายจากใจท่าน ยี่สิบปีความดีที่สร้างสม ยังทับถมเป็นตำนานให้เล่าขาน […]
พระเมตตาอันยิ่งใหญ่ของพระเป็นเจ้า 9 เรื่องราวของคุณเดวิด เด วิดเป็นชายหนุ่มที่มีอายุ 48 ปี เดวิดเป็นชาวอิหร่าน อาศัยอยู่ในประเทศมานานกว่า 20 ปีแล้วในฐานะผู้อพยพลี้ภัยคนหนึ่งของสหประชาชาติ เมื่อ 12 ปีที่แล้วคุณเดวิดได้มาที่บ้านของคณะปีเมที่ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี เพื่อขอความช่วยเหลือ ในระหว่างนั้นก็ยังมีผู้อพยพลี้ภัยจำนวนหลายชาติทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นจากประเทศปาเลสไตน์ อิรัก อัฟกานิสถาน คองโก กานา ซิเอร่าลีออน และอีกหลายๆประเทศที่มาขอความช่วยเหลือจากคณะปีเมที่ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี เดวิดเป็นชายหนุ่มที่มีร่างกายใหญ่โตกำยำบึกบึน ข้าพเจ้าได้ขอให้เดวิดช่วยเล่าประวัติส่วนตัวของเขาให้ข้าพเจ้าฟัง เดวิดเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า เดวิดเกิดมาจากครอบครัวนายทหาร พ่อของเดวิดเป็นนายทหารชั้นสูงยศระดับนายพล และเดวิดเองก็ได้จบการศึกษาในโรงเรียนเตรียมทหาร เขาเป็นชายหนุ่มมุสลิมที่มีความเลื่อมใสศรัทธา เอาจริงเอาจังและกระตือรือร้นในศาสนาอิสลามของเขามาก นอกจากนี้ยังเต็มไปด้วยความเคียดแค้นและเกลียดชังต่อคริสตศาสนาอีกด้วย เขาเคยถูกสอนมาว่า “ถ้าเขาจับหรือสัมผัสกับสุนัข เขาจะต้องล้างมือเขาให้สะอาดถึง 3 ครั้ง และถ้าเขาสัมผัสหรือติดต่อกับคริสตชน เขาจะต้องล้างมือเขาให้สะอาดถึง 6 ครั้ง” และเรื่องอื่นๆอีกอีกมากมายที่แสดงให้เห็นถึงการดูถูกเหยีดหยามและไม่ถูกกัน ระหว่างผู้นับถือศาสนาของทั้ง 2 ศาสนา คือ ศาสนาคริสต์และศาสนาอิสลาม เพราะฉะนั้น ความเกลียดชังและการแก้แค้นต่างๆระหว่าง 2 ศาสนานี้เขาจึงได้รับการสั่งสอนและสั่งสมมาตลอดเวลา […]
พระเมตตาอันยิ่งใหญ่ของพระเป็นเจ้า 8 “การประกาศข่าวดีแห่งพระวรสารในประเทศไทยปี ค.ศ. 2000” ( พ.ศ. 2543) ข้าพเจ้าพบบทความเหล่านี้ในสมุดจดบันทึก เล่มหนึ่งของข้าพเจ้า บุคคลในสมุดจดบันทึกเล่มนี้ของข้าพเจ้า พวกเขาไม่รู้จักมักคุ้นกันมาก่อนเลย พวกเขาเติบโตมาในบรรยากาศของการถูกเอารัดเอาเปรียบจากบุคคลอื่นและจากสังคม สิทธิและศักดิ์ศรีของพวกเขาได้ถูกริดรอนและถูกกดขี่ข่มเหง และพวกเขาก็ได้ตกเป็นเหยื่อของความรุนแรง จิตใจของพวกเขาแต่ละคนเต็มไปด้วยบาดแผล พวกเขาถูกทอดทิ้งจากทุกคนที่อยู่รอบข้างพวกเขา จนทำให้พวกเขาไม่สามารถไว้ใจและเชื่อใครได้อีกเลย แม้กระทั่งบุคคลที่ใกล้ชิดกับพวกเขาเอง ปัญหาต่างๆมากมายที่รุมเร้าพวกเขานี้ ทำให้พวกเขาดิ้นรนและแสวงหาความปลอดภัยให้กับตัวพวกเขาเอง รวมทั้งแสวงหาความเข้าใจและความรักจากบุคคลอื่น แต่พวกเขาก็ไม่สามารถพบมันได้เลย “เหมือนกับลูกแกะที่ปราศจากผู้เลี้ยงะ” บรรดาผู้หญิงก็ถูกทอดทิ้งจากสามีของพวกเขาเอง ผู้ชายหลายคนต้องกลายเป็นคนติดยาเสพติด แสวงหาผู้หญิงโดยไม่เลือกหน้าเลือกตา ลุดท้ายก็ต้องติดเชื้อเอชไอวี(เชื้อโรคเอดส์) บางคนก็ต้องตายก่อนระยะเวลาอันควร หรือ ติดสุราอย่างเมามายจนไม่สามารถหยุดได้ บรรดาผู้ที่เป็นแม่ไม่สามารถดูแลลูกๆได้อย่างดีและตามหาลูกๆของพวกเขากลับมา ได้ เพราะยุ่งอยู่กับการทำงานหาเงินจนไม่รู้จักคำว่าพอ เพียงแค่เพื่อที่จะยกระดับฐานะครอบครัวของตนเองให้ดีขึ้น ติ๋ม เธอเป็นผู้หญิงที่มีอายุ 54 ปี สามีของเธอได้ใช้จ่ายเงินจนหมดสิ้น สุดท้ายก็ต้องขายที่ดินและบ้าน ติ๋มและลูกชายอายุ 12 ปี ไม่มีที่อยู่อาศัย แม้แต่ห้องที่จะหลับนอน ติ๋มเต็มไปด้วยหนี้สินนอกระบบพร้อมดอกเบี้ยสูงที่จะต้องจ่ายดอกเบี้ย 20 เปอร์เซ็นต์ต่อวัน เจ้าหนี้ต้องส่งคนติดตามติ๋มอยู่ตลอดเวลาทั้งกลางวันและกลางคืน หลายครั้งหลายคราที่เธอโดนทำร้ายร่างกายเนื่องจากไม่มีเงินจ่ายดอกเบี้ย สุดท้ายเธอและลูกชายของเธอก็ได้ที่อยู่อาศัยใหม่ ซึ่งเป็นบ้านของเพื่อนเธอ เพื่อที่จะหนีรอดจากการติดตามและเฝ้าดูของเจ้าหนี้เธอ แต่ก่อนติ๋มเคยขายตำมะละกอ(ส้มตำ)ที่ตลาดที่อยู่ใกล้ๆกับบ้านของเธอ […]
พระเมตตาอันยิ่งใหญ่ของพระเป็นเจ้า ตอนที่ 7 “พลังอำนาจแห่งการเยียวยารักษาของพระเป็นเจ้า” คืนหนึ่งในขณะที่ข้าพเจ้ากำลังนอนหลับและได้ฝันไปว่า ข้าพเจ้าอยู่ในเรือนจำ(คุก) ในเรือนจำนี้เองข้าพเจ้าถูกขังไว้ในกรง ข้าพเจ้าไม่มีแขน มีเพียงแค่ขาข้างเดียวเท่านั้น เมื่อข้าพเจ้าตื่นขึ้นมา ข้าพเจ้าพยามที่จะเข้าใจความหมายของความฝันนั้น และแล้วในวันเดียวกันนั้นเองความหมายของความฝันของข้าพเจ้านั้นก็ชัดเจนขึ้น เมื่อข้าพเจ้าได้ไปกับสามเณรใหญ่แสงธรรมประมาณ 3-4 คน เพื่อที่จะไปเยี่ยมเยียนและให้กำลังใจกับประชาชนที่บ้านพักสำหรับบุคคลที่ ไร้ที่อยู่อาศัยทางทิศเหนือของกรุงเทพฯ เมื่อข้าพเจ้าเข้าไปถึงบริเวณที่พักของพวกเขา ข้าพเจ้าเห็นผู้ชายคนหนึ่งกำลังนอนหลับอยู่บนพื้น ส่วนอีกคนก็เดินไปมาโดยที่ไม่มีเสื้อผ้าใส่ อีกคนก็กำลังร้องตะโกน อีกคนก็กำลังกระโดด อีกสองคนก็กำลังชกต่อยกัน และมีคนอีกจำนวนหนึ่งที่ไม่มีขาเป็นคนพิการและตาบอด ข้าพเจ้าเกิดความรู้สึกนึกคิดขึ้นมาทันทีว่า บุคคลเหล่านี้มีลักษณะเหมือนกับตัวข้าพเจ้าเอง คือ การตกเป็นทาสของผีปีศาจ และการถูกทอดทิ้งจากผู้คนรอบข้าง ข้าพเจ้าจึงได้เกิดความรู้สึกสงสารพวกเขาเหล่านั้นเป็นอย่างมาก ที่สุดบรรดาสามเณรและข้าพเจ้าก็ได้ทำการอาบน้ำแต่งตัวให้กับพวกเขา ตัดผมให้พวกเขา ตัดเล็บมือเล็บเท้าให้กับพวกเขา ให้เสื้อผ้าใหม่กับพวกเขาใส่ ข้าพเจ้ารู้สึกมีความสุขมาก อะไรก็ตามที่ข้าพเจ้ากระทำกับบุคคลเหล่านี้ พระเป็นเจ้าก็จะทรงกระทำกับข้าพเจ้าเช่นเดียวกัน วันหนึ่งขณะที่ข้าพเจ้ากำลังนั่งสวดภาวนาอยู่ที่ม้านั่งยาวในสวนของบ้าน คณะปีเมที่อำเภอปากเกร็ดจังหวัดนนทบุรี ข้าพเจ้าได้เห็นมือข้างหนึ่งกำลังลงมาจากข้างบน ข้าพเจ้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามือที่กำลังลงมาจากข้างบนนี้จะทำร้ายข้าพเจ้า หรือไม่ ข้าพเจ้ารู้สึกกลัวและก็คิดขึ้นมาทันทีเกี่ยวกับมือที่กำลังยื่นลงมาจากข้าง บนนี้ อีกครั้งหนึ่งในขณะที่กำลังสวดภาวนาข้าพเจ้าก็เห็นมือข้างหนึ่งข้างเดิมที่ ข้าพเจ้าเคยเห็น ข้าพเจ้าต้องการที่จะเห็นและรู้ให้ได้ว่าเป็นมือของใครกันแน่ ที่สุด ข้าพเจ้าก็พบว่าเป็นมือของบิดา(คุณพ่อ)ของข้าพเจ้าเอง มือนั้นไม่ได้ทำร้ายข้าพเจ้า กลับเป็นมือที่กำลังพยายามขอบางสิ่งบางอย่าง ซึ่งก็หมายความว่าคุณพ่อของข้าพเจ้าต้องการบางสิ่งบางอย่างจากข้าพเจ้า ข้าพเจ้าถามตัวเองว่าคุณพ่อของข้าพเจ้าต้องการอะไรจากข้าพเจ้า? ทันทีทันใดคำตอบนั้นก็มาถึงข้าพเจ้าทันที […]
พระเมตตาอันยิ่งใหญ่ของพระเป็นเจ้า ตอนที่ 6 ในช่วงเวลาเดียวกันนี้เองระหว่างปี ค.ศ. 1987-1988 ข้าพเจ้าได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับผู้ป่วยด้วยโรคเอดส์(ผู้ติดเชื้อเอชไอ วี)เป็นครั้งแรก ข้าพเจ้าได้เดินทางไปเยี่ยมเยียนผู้ป่วยโรคเอดส์จากการอนุญาตเป็นกรณีพิเศษ จากผู้มีอำนาจในฝ่ายของกรมสุขภาพและอนามัย ข้าพเจ้ารู้สึกสงสารพวกเขาเหล่านั้น มีทั้งบรรดาชาวหนุ่มหญิงสาวที่กำลังนอนรอความตาย ข้าพเจ้ารู้ว่าข้าพเจ้าควรจะทำบางสิ่งบางอย่าง ที่สุด ข้าพเจ้าได้เช่าบ้านหลังหนึ่งสำหรับพวกเขา มีนักศึกษาจากบางมหาวิทยาลัยได้เข้ามาช่วยเหลือข้าพเจ้าด้วย และต่อมาพวกเราก็ได้สร้างบ้านเล็กๆหลังหนึ่งให้สำหรับผู้ป่วยโรคเอดส์เหล่า นี้ ซึ่งตั้งอยู่ภายในบริเวณโบสถ์ โดยมีอดีตรักร้องประจำห้องอาหารมาเป็นอาสาสมัครช่วยดูแลผู้ป่วยโรคเอดส์ เหล่านี้ ในช่วงเวลานั้นยังไม่มียาต้านเอชไอวีหรือยาที่มาช่วยบรรเทาอาการผู้ป่วยโรค เอดส์แต่ประการใด นอกจากอาศัยความจริงใจและความซื่อสัตย์จากหัวใจของพวกเราเองในการอุทิศตน การให้อาหารที่ดีแก่พวกเขา การให้พวกเขาได้มีโอกาสออกกำลังกาย และ ให้พระวาจาของพระเป็นเจ้าเป็นยาบำรุงเยียวยารักษาพวกเขา ที่โรงพยาบาล เราได้พบกับคุณโสมนัส ชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งมีอายุประมาณ 30 ปี เขาถูกส่งมาหาพวกเราที่นี่โดยกรมราชฑัณฑ์จากการที่เขาติดคุกอยู่ในเรือนจำ และติดเชื้อเอชไอวี เขาดูเหมือนว่ากำลังป่วยอยู่ในระยะสุดท้าย และเขาก็ยังเป็นคนที่มีหน้าตาขลึมขลังและดุร้ายน่ากลัวพอสมควร เขาเป็นผู้ค้ายาเสพติดและเป็นผู้ติดยาเสพติดด้วย กรมราชทัณฑ์ไม่ต้องการที่จะให้เขากลับเข้าไปในเรือนจำอีก และทางโรงพยาบาลก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะส่งเขาไปที่ไหนต่อ นางพยาบาลได้ถามข้าพเจ้าว่า บ้านของเราสามารถที่จะรับคุณโสมนัสนี้ไปพักอาศัยอยู่ในบ้านพักสำหรับผู้ป่วย โรคเอดส์ของเราได้ไหม ข้าพเจ้าและนักศึกษาที่ทำงานอยู่กับข้าพเจ้าก็ยินดีและตกลงที่จะรับเขาเข้า มาพักอาศัยอยู่ในบ้านของเรา ทุกๆวัน ข้าพเจ้าจะถามคุณโสมนัสว่า “คุณต้องการที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปไหม?” เขาก็มักจะให้คำตอบเดิมๆกับข้าพเจ้าเสมอว่า “ไม่, ผมอยากตาย” ที่สุด […]