หลังจากชั่งใจอยู่หลายเดือน พร้อมกับดูสถานการณ์โควิดที่เมืองไทยและที่ต่างๆ บวกกับเสียงเรียกร้องจากสัตบุรุษว่า อยากไปจาริกทางความเชื่อด้วยกันอีกครั้งหนึ่ง ผมได้แต่เก็บนิ่งไว้ในใจ ตัดสินใจได้ เมื่อตอนมีจะมีวันหยุดยาวช่วงเทศกาลแข่งเรือ และการประชุมซัมมิตอาเซียนที่พนมเปญ ซึ่งทางรัฐบาลประกาศหยุดยาวสัปดาห์หนึ่ง ผมเลยเลือกช่วง 6-10 พ.ย. 2022 ที่ผ่านมา และมาลงตัวที่ศาสนปกครองอุบลฯและท่าแร่-หนองแสง เพราะผมมีเจ้าที่ เอ้ย! เจ้าถิ่น คือ คพ.พร้อมพงษ์ ศรีหารัตน์(พ่อเบิร์ด) คนอำนาจเจริญ ช่วยจัดตารางเวลาให้ ทำให้เรื่องท้าทายที่สุด ก็ถูกรับไปจัดการอย่างเรียบร้อย
มานั่งมองดูย้อนหลัง ว่าการจัดเดินทางแบบนี้ทีไร ผมต้องใช้พลังงานมากทีเดียว ในการติดต่อประสานงานทุกทิศ ตั้งแต่ต้นทางยันปลายทาง กิจกรรม การคำนวณค่าใช้จ่าย ฯลฯ แต่จากการสั่งสมประสบการณ์หลายปีที่ผ่าน ไม่ว่าจะไปที่ศาสนปกครองจันทบุรี(2017) ไปมิสซังท่าแขกและปากเซ(2018) จัดไปจ.รัตนคีรีและมณดลคีรี และสุดยอดมหาการเดินทางจาริก 5 คันรถบัสจากประเทศกัมพูชา เมื่อตอนมารับพระสันตะปาปาที่กรุงเทพฯ(2019) ทำให้ผมไม่ค่อยวิตกนักกับการเดินทางครั้งนี้ ซึ่งมีเพียงสองคันรถบัส สงสัยได้รับเชื้อจาก แสงจันทร์ทัวร์ ซึ่งเป็นอาโกของผมไปเต็มๆ(555)
การเดินทางครั้งมีจุดประสงค์เพื่อฟื้นฟูจิตตารมย์ของซีโนด คือ “การร่วมเดินทางไปด้วยกัน” ตอนแรก ก็คิดว่าจะเป็นแค่กลุ่มสภาอภิบาล แต่เมื่อมีสัตบุรุษบางคนสนใจก็เปิดรับ รวมทั้งสัตบุรุษจากวัดอีก 3 วัด(สวายปะ, บึงตุมปุนและกำปงโซม) ก็ร่วมไปด้วย สำหรับนักบวชที่ไปด้วย ก็มีซ.บังอร มธุรสสุวรรณ ที่สายสัมพันธ์เยอะมาก และบราเดอร์สังฆานุกรบุนลี อย่างที่สองคือ เพื่อนำส่วนที่เหลือจากการเดินทาง เป็นการบริจาคเพื่อสร้างวัดของเรา อย่างที่สาม คือ ฉลองครบรอบ 30 ปีของกลุ่มคริสตชนวัดน.ยอแซฟ พซาโตจ และ ฉลองครบรอบ 1 ปี การวางศิลาแรกของวัดใหม่ ซึ่งปัจจุบัน งานก่อสร้างกำลังดำเนินการไปอยู่ และอย่างสุดท้าย คือ การเปิดโลกทัศน์กับที่ใหม่ๆ วัฒนธรรมใหม่ๆ ที่พวกเราไม่เคยเจอ
อย่างที่เราทราบกันว่า การเดินทางจาริกมันรวมทุกบรรยากาศ มีสุขทุกข์ร่วมกัน เราเปลี่ยนความยากลำบากให้เป็นการใช้โทษบาป… เริ่มจาริกกัน วันอาทิตย์ที่ 6 ค่ำ เราต้องเดินทาง 434 กม.จากพนมเปญ ไปช่องสะงำ จ.ศรีสะเกษ นอนกันบนรถ หลับๆตื่นๆ กันทั้งคืน มาถึงก่อนตีห้า ของเช้าวันจันทร์ที่ 7 แต่ด่านเปิด 7 โมงเช้า อากาศเย็นๆ ส่วนทางฝั่งไทย พ่อเบิร์ด ติดต่อสองรถบัสมารอรับแล้ว ที่ต้องเปลี่ยนรถ เพราะพวงมาลัยคนละข้างกันครับ ผ่านขั้นตอนผ่านแดนแล้ว จากชายแดน เราก็เดินทางต่อมาถึงอารามรักกางแขน ณ อุบลฯ ซึ่งได้รับการต้อนรับอย่างดี จากคุณแม่โยวานนา นิดา ถาวร มหาอธิการิณี อธิการอารามและโรงเรียน พร้อมด้วยอาหารอร่อยและเรียบง่าย หลายคนได้พบกับ ซ.เซเวียร์ ทิพากร และ ซ.เปลาจี สมปอง ซึ่งเคยทำงานที่กัมพูชามายาวนาน ด้วยความดีใจ หลังจากอิ่มท้อง พวกเราไปสวดภาวนาและรับฟังพันธกิจของคณะฯ ที่วัดน้อยของอาราม จากนั้นก็เดินกันนิดหน่อย ไปที่อาสนวิหาร คพ.สุพจน์ สายเสม ให้การต้อนรับ รับรู้ถึงประวัติการประกาศพระวรสาร ชุมชนคริสต์แห่งแรก ในภาคอีสานของไทยเราที่นี่
ในช่วงนั้น ทางสหพันธ์นักบวชคาทอลิก ได้มีกิจกรรมแบ่งปันให้กับผู้ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม พอดี แต่กิจกรรมคนละวันกัน คณะทัวร์จาริกของเราก็แวะที่วัดคาทอลิกทับไทยวันนี้ ซึ่งทางวัดเพิ่งล้างวัดหลังน้ำท่วม ข้าวของเสียหายพอสมควร พวกเราได้ร่วมบริจาคเป็นกำลังใจผ่านทางซิสเตอร์ยาย วิเวียนนา สุพรรณี อุตสาหกิจ และจบวันด้วยมิสซาอย่างสง่าที่วัดคาทอลิกบุงไหมหลังใหม่อันสวยงาน โดยคุณพ่อ สำรอง คำศรี เจ้าอาวาส ให้การต้อนรับและอธิบายประวัติกลุ่มคริสตชนและความหมายต่างๆ ของวัดใหม่ พร้อมสภาอภิบาลและสัตบุรุษ คณะซิสเตอร์และครู ได้ทำอาหารเลี้ยงรับพวกเรา อิ่มบุญอิ่มท้องทั่วหน้า
วันที่อังคารที่ 8 พ.ย. เราเดินทางแต่เช้าตรู่ เพื่อไปสักการสถานบุญราศีมรณสักขี ที่บ้านสองคอน ข้ามไปถึงศาสนปกครองท่าแร่ พวกเราถวายมิสซาที่นี่ พร้อมกับฟังประวัติกันน่าอัศจรรย์ เรามีเวลาภาวนาที่หน้าโลงพระธาตุด้านหลัง และหลายคนไปเอาบ่อน้ำและป่าศักดิ์สิทธิ์ ด้วยความเชื่อ หลายคนได้ขอพรผ่านทางบรรดาบุญราศีด้วย พวกเรารีบเดินทางมาถึงวัดคาทอลิกซ่งแย้ อะเมซิ่งไทยแลนด์ วัดไม้ใหญ่ที่สุด เลยเวลาอาหารเที่ยงไปถึงบ่ายโมงกว่า แต่ คพ.ไพทูรย์ แสนสวัสดิ์ และซ.นันพันธ์ งามวงศ์ อธิการบ้านก็ดูแลเราอย่างดี จากนั้นก็ไปภาวนาขอท่าน น.มีคาแอล องค์อุปภัมภ์ คุ้มครองดูแลพวกเรา และเดินทางต่อแวะที่วัดคาทอลิกแม่พระเมืองลูร์ด บ้านหนองคูน้อย คพ.พิทักษ์ จันทรกาญจน์ เจ้าอาวาส ได้จัดให้ซิสเตอร์มา ต้อนรับเรา และจบวันที่หมู่บ้านคาทอลิกหนองคู ซึ่งเป็นบ้านเกิด คุณพ่อเบิร์ด ชุมชนแห่งความเชื่อนี้มากด้วยกระแสเรียก ทำให้พวกเราได้เห็นถึงความเชื่อ ของพี่น้องคริสตชนที่นั่น พวกเขาได้ช่วยกันทำอาหารต้อนรับ และ คืนนี้พวกเราได้ประสบการณ์พิเศษ บรรยากาศแบบโฮมสเตย์ คืออยู่ตามบ้านของชาวบ้าน ที่ต้อนรับพวกเราอย่างอบอุ่นเหมือนพี่น้อง แม้จะสื่อกันไม่รู้เรื่อง แต่ได้ทำให้มีเรื่องเล่าสนุกๆ กันมากมายในรถ
วันพุธที่ 9 พ.ย. เช้าเราภาวนาที่วัดพระวิสุธิวงศ์ คพ.สานิตย์ พลมาก เจ้าอาวาส ได้ให้ซิสเตอร์มารับรอง พวกเราเห็นถึงความกล้าหาญของบรรดาธรรมทูตสมัยแรก ที่ไม่กลัวผีสางนางไม้ ประกาศข่าวดีจนเป็นกลุ่มคริสตชนที่นี่ จากนั้นเราก็เดินทางกลับมาตัวจังหวัดอุบลฯ แต่ด้วยการประสานงานจากซ.บังอร ทำให้เราได้แวะพัก ที่โรงเรียนอาเวมารีอา อำนาจเจริญ โดยมี ซ.รัตนา พันธ์วิไล ผู้อำนวยการ จัดกิจกรรมวันลอยกระทงให้เราได้สัมผัสบรรยากาศแบบไทยๆด้วยที่นี่… เมื่อถึงตัวจังหวัดก็รีบรุดไปแวะเยี่ยมเยี่ยนพระคุณเจ้า ฟิลิป บรรจง ไชยรา และ พี่น้องสงฆ์ที่นั่นที่เพิ่งออกจากเข้าเงียบ นี่เป็นเหตุผลว่า เราไม่ได้เจอพระสงฆ์เลยวันนี้ หลายคนได้รับพรจากพระคุณเจ้า จากนั้นไปทานเที่ยงและชอปปิ้งนิดหน่อย ที่บิ๊กซี
เราขอบคุณพระสำหรับสุดท้ายในอุบลฯนี้ที่วัดคาทอลิก แม่พระฟาติมา นาคำ ด้วยการต้อนรับจาก คพ.คำดี ทองมาก คณะซิสเตอร์ และคณะครู ที่รับรองพวกเรา ด้วยอาหารฝ่ายจิตในมิสซา และอาหารฝ่ายกายที่ทางวัดรับรอง ก่อนกลับได้แวะที่ตลาดกลางคืนนิดหน่อย
วันรุ่งขึ้นวันพฤหัสฯที่ 10 พ.ย. เป็นการเดินทางกลับอันแสนยาวไกล เราร่วมมิสซา ขอบคุณ คพ.ประดับสิน ด้วงทอง ผู้ดูแลศูนย์ที่ให้การรับรองที่พักเราถึงสองวัน เราออกจากอุบลฯ แต่เช้า แวะจุดชมวิวสุดท้ายที่ผาพญากูปรี ก่อนข้ามแดนประมาณบ่ายโมง และเดินทางกว่าสี่ร้อยกิโลเมตร เพื่อกลับบ้านเราที่พนมเปญ ระหว่างทาง เราได้ขอบคุณกันและกัน ขอบคุณพระเจ้าสำหรับวันเวลาดีๆ โอกาสจาริกได้เห็นความเชื่อของพี่น้องเพื่อนบ้านที่แตกต่าง แต่เข้มแข็ง พวกเราถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ
พวกเราขอขอบคุณพระเจ้า ที่ประทานพรให้เราตลอดการเดินทาง ให้บรรดาองค์อุปถัมภ์จากทุกวัดที่เราไปภาวนา คุ้มครองดูแลพวกเรา ขอขอบคุณพระคุณเจ้า บรรดาคุณพ่อ ซิสเตอร์ สภาอภิบาลและสัตบุรุษที่น่ารักทุกๆท่าน ทำให้เราได้สัมผัสถึงความรักของพระองค์จากการต้อนรับที่อบอุ่น ขอพระเยซูเจ้าที่บังเกิดเป็นมนุษย์ ได้นำเราไปสู่พระบิดา ประทานพรให้ผู้มีน้ำใจดีทุกท่านในโอกาสนี้ด้วยเทอญ