มอนเต คาสสิโน (Monte Cassino)
วันนี้เป็นวันเดินทางแสวงบุญอีกวันหนึ่งแต่เป็นวันที่รับประสบการณ์มากอีกวันหนึ่งเช่นกันพวกเราสี่สิบกว่าคนที่มาเข้าหลักสูตร ผู้ให้การอบรมในบ้านเณร ได้เหมารถไปแสวงบุญที่สักการะสถานนักบุญปีโอพระสงฆ์กาปูชินที่ได้รับอัศจรรย์แต่เนื่องจากผมเคยไปแล้วเลยตัดสินใจร่วมเดินทางไปแค่มอนเตคาสสิโนซึ่งเป็นอารามอยู่บนภูเขา(สูง 520 เมตร) ห่างจากโรมไปทางใต้ประมาณ๒ชั่วโมง(130 กิโลเมตร)ที่นี่เป็นอารามเก่าแก่จุดเริ่มต้นของคณะเบเนดิกติน (ค.ศ. 529)
ปากทางเข้าก่อนถึงรั้วอาราม
สมาชิกกลุ่มใหญ่ได้มาแวะประมาณสองชั่วโมงก็เดินทางต่อส่วนผมกับเพื่อนคพ.อาเล็กซานโดรกาบรีเอลชาวอาเจนตินาอยู่ร่วมมิสซาวันอาทิตย์ที่นี่(10.30) กับบรรดาสมาชิกเบเนดิกตินและสัตบุรุษเป็นมิสซาเกรโกเรียนผสมอิตาเลียนได้สัมผัสถึงบรรยากาศที่ศักดิ์สิทธิ์พระแท่นหลักที่ใช้ประกอบพิธียังเป็นแบบเก่าอยู่คือหันหลังให้สัตบุรุษด้านหลังของพระแท่นเป็นที่เก็บพระธาตุนักบุญเบเนดิกต์ (St.Benedict of Nursia)และนักบุญสกอลัสติกาทั้งสองท่านเป็นนักบุญที่ยิ่งใหญ่มากในตอนเริ่มยุคกลางโดยเฉพาะนักบุญเบเนดิกต์ซึ่งเป็นองค์อุปถัมภ์ของยุโรป
นักบุญเบเนดิกต์และนักบุญสกอลัสติกา
เดิม ก่อนสมัยท่านนักบุญ เป็นอารามของคนต่างศาสนา ที่สร้างขึ้นเพื่อเทพอปอลโล แต่ท่านได้มา ปรับและสร้างใหม่เป็นอาราม ซึ่งท่านได้อยู่ที่นี่คนตลอดชีวิตของท่าน ท่านนักบุญได้วางรากฐานและได้ออก พระธรรมวินัยของพวกฤษี ที่ใช้ทั่วไปในยุคของท่านและต่อมาได้มีอารามเบเนดิกตินทั่วยุโรป
คณะนี้ได้มีบทบาทตลอดประวัติศาสตร์ของพระศาสนจักร ได้ส่งธรรมทูตไปหลายพื้นที่ทั้งใน และนอกยุโรป ใน ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง อารามแห่งนี้ ได้ถูกฝ่ายพันธมิตรทิ้งระเบิดจนเสียหาย อย่างหนัก แทบไม่เหลือซาก แต่โชคดีอยู่อย่างหนึ่งว่า ตอนเริ่มสงคราม เมื่อเยอรมันเข้ายึด(1942) เจ้า หน้าทีนาซีระดับสูงที่เป็นคาทอลิก ร่วมกับโปรเตสเตนท์ ได้ขนเอกสารและวัตถุโบราณไปเก็บ ไว้ที่วาติกัน เล่ากันว่า ต้องใช้รถบรรทุกถึง 120 คัน ขนกันเมื่อเดือนตุลาคม 1943 แต่ก็มีศิลปะหลายชิ้น ที่นาซีได้เอาออกไป และบางส่วนก็ไปไว้ที่เมืองเนเปิล
ปากทางเข้าประตูอาราม เขียนเป็นภาษาลาติน ที่แปลว่า สันติ
พระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ได้ทรงมาเยี่ยมที่อารามแห่งนี้เมื่อปี 2009 และสิ่งที่น่าสนใจอีกอย่าง ก็คือ อธิการใหญ่ของอารามแห่งนี้ มีอำนาจเหมือนพระสังฆราช เพราะเขตการปกครองของอารามแห่ง คาสสิโน ได้ถูกกำหนดไว้ในกฎหมายพระศาสนจักร ให้เป็นเขตปกครองแบบสังฆมณฑล ซึ่งยังคงเก็บ รักษาไว้เหลืออยู่ไม่กี่แห่ง ซึ่งหลักจากกฎหมายพระศาสนจักรฉบับใหม่ออกมา ไม่ให้มีเขตการปกครองแบบ นี้อีกแล้ว อธิการคนใหม่ เพิ่งได้รับการแต่งตั้งจากพระสันตะปาปาฟรังซิส เมื่อ 12 มิถุนายน 2013 ชื่อ Pietro Vittorelli
บรรยากาศภายในวัดที่มอนเต คาสสิโน
ระหว่างมิสซาผมภาวนาเพื่อพระกระแสเรียกเป็นพิเศษเพราะปัจจุบันคณะนี้ซึ่งก็เหมือนกันทั่วยุโรปคือมีกระแสเรียกลดลงผมยังไม่เห็นสมาชิกคณะที่นี่ที่เป็นเอเชียและอัฟริกันก็คงจะดูเงียบเหงาพอสมควรกิจกรรมหลักของอารามนอกจากรักษาพระวินัย ด้วยการสวดภาวนาและทำงานด้วยตัวเอง ก็คงเพิ่มเติมด้วยการต้อนรับบรรดาผู้แสวงบุญเราเห็นป้ายที่บอกให้ “เงียบ” พบอยู่ทั่วไปแม้แต่คุณพ่อที่ร่วมกันถวายมิสซาในวันนั้นก็ไม่ค่อยจะพูดได้แต่ยิ้มพยักหน้าทักทายกันแค่นั้น
ภาพปักด้วยเส้นไหม แสดงถึงกิจการของท่านนักบุญเบเนดิกต์
หลังมิสซาไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ของอารามน่าอัศจรรย์ใจคือหลังจากถูกระเบิด ซะราบคาบ แต่ก็ยังมีวัตถุโบราณมากมายที่เก็บไว้ได้รับกลับมา และอารามที่เราเห็นอยู่ทุกวันนี้คือการบูรณะใหม่ขึ้นทั้งหมดมีข้าวของเครื่องใช้เก่าๆมากมายซึ่งจะว่าไปแล้วมีตั้งแต่ยุคก่อนคริสตศักราชเล็กน้อยคือสมัยยุคอาณาจักรโรมันเลยทีเดียว
ภาพวาดเก่าแก่ แสดงที่ตั้งของอรามบนภูเขาคาสสิโน
ผมกับเพื่อนรีบกลับลงมาที่เมืองเพราะมีเรื่องต้องทำพิเศษคือการดูแลเพื่อนคนหนึ่งคพ.ออสการ์จากสเปนเพราะตั้งแต่ขึ้นรถมาคุณพ่อมีอากาศปวดหลังมากทราบมาว่าเป็นปัญหาเกี่ยวกับไตและผลก็คือทำให้เกิดอาการวิงเวียนและอาเจียนตลอดการเดินทางคุณพ่อปรารถนาจะไปสักการะสถานนักบุญปีโอแต่พอมาถึงข้างบนเขามอนเตกาสสิโนก็ไม่ไหวแล้วถึงขนาดต้องเรียกรถพยาบาลมารับกันเลยทีเดียวและเข้าไปพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลของเมืองคาสสิโน
รูปปั้นนักบุญเบเนดิกต์ หน้าทางขึ้นสู่วัด
ผมรอรถไม่มาสักทีก็เลยอาศัยรถโบกได้คนใจดีเป็นเจ้าหน้าที่ข้างในอารามนั้นเองเขากำลังกลับบ้านในเมืองทำให้ผมรู้ข้อมูลอย่างหนึ่งว่าระหว่างสงครามไม่ใช่แค่อารามเท่านั้นแต่ทั้งเมืองถูกระเบิดจนราบส่วนอารามอังกฤษฮอลแลนด์ต้องการระเบิดในขณะที่อเมริกาไม่อยากทำ แต่ก็บอมบ์และที่สุดหลังสงครามประเทศที่ทิ้งระเบิดก็ต้องจ่ายค่าชดใช้ซ่อมแซมบูรณะเมืองและอารามใหม่ทั้งหมดนี่เป็นเรื่องการเมืองจริงๆทำให้ผมรู้สึกเกลียดสงครามขึ้นมาทันที…
สภาพอารามหลังถูกฝ่ายพันธมิตรทิ้งระเบิด
คุณพี่ใจดีมาส่งถึงโรงพยาบาลเดินถามคนนั้นคนนี้จนมาถึงห้องพักเห็นคุณพ่อออสกากำลังนอนให้น้ำเกลืออยู่ดูอ่อนเพลียพ่อกาเบรียลเป็นเพื่อนสนิทเพราะพูดภาษาเสปนเหมือนกันผมเลยปล่อยให้อยู่ด้วยกันผมเห็นวัดน้อยของโรงพยาบาลเลยลงไปสวดแล้วก็เพลองีบไปเลยขึ้นมาอีกทีที่ห้อง พยาบาลก็เห็นคุณพ่อมีอาการดีขึ้นมากมีผู้ป่วยในห้องนั้นสองสามคนก็เลยให้พรหลังจากหมออนุญาตให้กลับได้ก็ออกมารอรถเมล์หน้าโรงพยาบาลเรารอรถอีกเกือบสองชั่วโมงแต่ไม่มีรถเลย เพราะเป็นวันอาทิตย์เลยตัดสินใจรถโบกอีกเช่นเคยทีนี้ได้ชาวบ้านใจดีคนหนึ่งรถเก่าหน่อยมีกลิ่นเหล้าด้วยแต่ก็ใจดี ไปส่งเราถึงสถานีรถไฟซึ่งก็รอไม่นานอีกสิบนาทีรถไฟก็ออกพอดี
อารามปัจจุบัน
เราสวดสายประคำขอบคุณพระบนรถไฟนั้นหมดแรงกันไปตามๆกันสองชั่วโมงบนรถไฟกลับมาถึงโรมก็พาพ่อออสการ์ไปซื้อยาตามใบสั่งยาและพาพ่อกาเบรียลไปร้านโทรศัพท์สาธารณะ เพื่อโทรกลับบ้านผมหมดภาระกิจวันนี้ทั้งแสวงบุญทั้งเป็นไกด์ค่อยอำนวยความสะดวกได้โบกรถเป็นครั้งแรกเพราะพอสื่อสารอิตาเลียนได้ และผมก็พบว่าสัตบุรุษมีน้ำใจดีเสมอ ผมได้สัมผัสความรักของพระเป็นเจ้าได้ผ่านทางความรักของเพื่อนพี่น้อง
คุณพ่อออสการ์เลี้ยงไอศรีมผมตอบแทนที่ช่วยดูแลส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายการรักษาวันนี้ก็เพิ่งจะรู้ว่า ไม่ต้องเสียอะไรเลยบริการสาธารณะสุขที่นี่ดีจริงๆ ที่แปลกใจเพราะเราไม่ใช่อิตาเลียนแต่รับบริการเหมือนชาวอิตาเลียน
สิ่งสุดท้ายสำหรับวันนี้คือขอบคุณพระเป็นเจ้าสำหรับประสบการณ์ดีๆวันนี้และขอพระองค์อวยพรทุกคนที่มีน้ำใจดีทุกคนด้วย
อาคารหลักคือ วัดที่อยู่กลางอาราม
ข้อมูลอ้างอิงจาก http://en.wikipedia.org/wiki/Monte_Cassino