ออกไปเพื่อเพาะปลูกความเชื่อ
“อปอลโลเป็นใคร เปาโลเป็นใคร ทั้งสองคนเป็นผู้รับใช้ที่นำความเชื่อมาให้ท่าน ต่างก็ทำตามที่ องค์พระผู้เป็นเจ้ากำหนด ข้าพเจ้าเป็นผู้ปลูก อปอลโลเป็นผู้รดน้ำ แต่พระเจ้าทรงเป็นผู้บันดาลให้เติบโต ขึ้น”(1คร. 3:5-6)
โดยปกติแต่ละวัด จะมีการสอนคำสอน ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ในประเทศกัมพูชา เรามีโรงเรียน คาทอลิกน้อยมาก ดังนั้นการสอนคำสอน จึงเป็นการอบรมในวัดเสียส่วนใหญ่ ไม่ได้เรียนคำสอนใน โรงเรียน และโดยปกติถ้าเป็นคำสอนผู้ใหญ่นั้น เราก็จะเรียนกันเป็นปีๆ เพราะอาทิตย์หนึ่งเราพบกันประมาณชั่วโมงหนึ่งเท่านั้น และเมื่อใดที่วัดเปิดให้คนผู้ใหญ่มาเรียนคำสอน ปกติก็จะมีคนมาเสมอ แม้บางคนมาได้ระยะหนึ่ง เพราะเมื่อย้ายที่ทำงาน พวกเขาก็ต้องย้ายออกไป แต่เมื่อเราเปิด…ก็มีคนมา
เวลาที่ผมมาเริ่มงานต่อจากคุณพ่อองค์ก่อน ผมมีผู้สมัครเรียนคำสอนผู้ใหญ่ 2-3 คน อุปสรรค ของการสอนคำสอนที่นี่มีมากมาย ตั้งแต่ขาดครูคำสอนโดยเฉพาะสำหรับเด็กๆ และเยาวชน, ปัญหา ภาษา โดยเฉพาะผู้ใหญ่ที่ไม่ได้เรียนภาษาเขมร ก็จะพูดแต่ภาษาเวียดนาม, เรื่องเวลาของผู้เรียน ที่มาบ้าง ขาดบ้าง เพราะมีธุระ รวมถึงตัวผู้สอนเอง บางครั้งก็มีหน้าที่การงานอื่นๆ ที่ทำให้ไม่สามารถ จะอยู่สอนได้ แต่เนื่องสิ่งอื่นใดที่ทั้งผู้เรียนผู้สอนมีคือ การพยายามหาเวลามาพบกัน เพื่อร่วมกันแสวงหา พระเป็นเจ้า
ในปีนี้มีผมมีผู้เรียนคำสอนผู้ใหญ่ 6 คน จาก3 กลุ่มคริสตชนที่ผมสอนพวกเขา ได้เข้าพิธีเลือกสรร ทางเป็นทางการ เพื่อเป็นผู้เตรียมรับศีลล้างบาปในวันปาสกาข้างหน้านี้ ส่วนใหญ่เป็นผลจากคุณพ่อ เจ้าอาวาสองค์ก่อนที่สอนพวกเขา และผมก็รับช่วงต่อมา ในขณะเดียวกัน มีอีกบางคนที่ผมก็เตรียม สำหรับส่งต่อให้พระสงฆ์ใหม่ต่อไป ถ้าหากผมจะต้องย้ายออกไปจากการดูแลกลุ่มคริสตชนเหล่านี้
ดังนั้นทุกคนที่สอนคำสอน ก็คือผู้เพาะปลูก ผู้รดน้ำ แต่ความเชื่อของพวกเขา เป็นพระเจ้า ที่ ทรงทำให้เติบโตขึ้น ซึ่งเป็นหน้าที่ที่พระเป็นเจ้าเรียกและเลือกสรรพวกเราให้เป็นคนงานของพระองค์
ในปีนี้เขตวัดของผมก็จะขาดคนสอนคำสอนไปอีกหนึ่งคน คือ ซ.สุพัตรา โสภณ ซิสเตอร์จาก คณะพระหฤทัย คลองเตย ที่มาร่วมงานกับคณะธรรมทูต เมื่อห้าปีที่แล้ว ซิสเตอร์ได้เข้ามาช่วยสอน คำสอน ช่วยวัดช่วยชาวบ้าน ช่วยอบรมเด็กและเยาวชน ห้าปีที่แล้ว เด็กๆตัวเล็กๆ ซนเหมือนลิง แต่ ตอนนี้พวกเขาเติบโตขึ้น ซิสเตอร์ช่วยเขาเตรียมรับศีลมหาสนิท และศีลกำลัง บางคนก็ได้รับทุนการ ศึกษาที่ทางคณะฯช่วย ได้เรียนต่อในระดับสูงขึ้น เพื่อต่อสู้กับแนวโน้มออกจากโรงเรียนก่อนวัย เพราะ เยาวชนที่นี่ ถ้าพอทำงานหาเงินได้ ก็จะหยุดเรียนและทำงาน และเห็นว่าการศึกษาต่อในระดับสูง มีแต่ รายจ่าย พ่อแม่เองก็คิดว่า แค่อ่านออกเขียนได้บวกลบเลขได้ก็พอแล้ว ดังนั้นเพื่อมองอนาคตที่ไกลขึ้น ซิสเตอร์ก็พยายามสนับสนุนเด็กๆ เหล่านั้นได้เรียนหนังสือ และโดยเฉพาะมาเรียนคำสอนด้วย
ผมพยายามเตรียมคนในพื้นที่เพื่อมาเป็นครูคำสอน แต่ดูเหมือนว่าไม่ง่ายเลย การหาครูอาสา สมัคร ก็ต้องเริ่มตั้งแต่เป็นเยาวชน สอนและเตรียมบทเรียนให้กับพวกเขา การจะเอาธรรมทูตต่างชาติ มาช่วยก็สามารถเป็นไปได้ แต่พวกเขาก็ต้องชนะอุปสรรคเรื่องภาษาให้ได้ คือต้องเรียนและมีทักษะ การใช้ภาษาอย่างดี โชคดีของคนไทย ที่มาช่วยงานที่นี่คือ เรามีพื้นฐานทางภาษาใกล้เคียงกับภาษาเขมร ก็สามารถใช้ได้อย่างรวดเร็ว แต่เมื่อลงพื้นที่งาน ก็พบว่า ภาษาเขมรอาจไม่เพียงพอ เพราะหลายครั้ง เราต้องอบรมชาวเวียดนาม ที่มาขอเรียนคำสอนกับเราด้วย และยังไม่รวมถึงภาษายุโรปสักหนึ่งภาษา ที่ใช้สำหรับสื่อสารกับคนหลายชาติที่มาติดต่อกับพระศาสนจักรแห่งนี้
“ฉะนั้น ชาวอิสราเอลจะเรียกขานพระองค์ได้อย่างไร ถ้าพวกเขาไม่เชื่อ จะเชื่อได้อย่างไร ถ้าไม่ เคยได้ยิน จะได้ยินได้อย่างไร ถ้าไม่มีใครประกาศสอน จะมีผู้ประกาศสอนได้อย่างไร ถ้าไม่มีใครส่งไป ตามที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า เท้าของผู้ประกาศข่าวดี ช่างงดงามจริงหนอ”(รม.10:14-15) พี่น้องที่รักครับ พระวาจานี้เป็นอมตะเสมอ พระองค์เคยดลใจผมด้วยพระวาจาตอนนี้ โดย เฉพาะในโรมบทที่ 10 ข้อที่ 15 ซึ่งเอามาจาก หนังสือประกาศกอิสยาห์ บทที่ 52 ข้อที่ 7 ผมก็หวังว่า พระวาจานี้ คงจะดลใจพี่น้องผู้อ่านด้วยเช่นเดียวกัน บางครั้งเราคิดว่าเขาคงไม่อยากฟังอะไรมากนัก หรอก ถ้าจะพูดเรื่องศาสนา อย่าพึ่งมโนไปเองครับ จนกว่าเราจะได้ทำ เพราะที่จริงเราไม่ได้ประกาศศาสนา เพราะศาสนาเป็นโครงสร้างที่มนุษย์สร้างขึ้น แต่สิ่งที่เราประกาศคือ พระเยซูเจ้า รวมทั้งสารหรือข่าวดีเกี่ยวกับพระองค์ ที่ทรงมาลบเวรกรรมต่างๆ ให้ออกจากเราไป และประทานชีวิตใหม่ ให้แก่เราในการดำเนินชีวิตด้วยสันติในพระเจ้า กับเพื่อนมนุษย์และสิ่งสร้างต่างๆ และการสอนคำสอน ก็คือวิธีการที่จะนำพวกเขาไปถึงการเปลี่ยนแปลงชีวิตนี้
ถ้าเราเชื่อตามที่นักบุญพระสันตะปาปายอห์น ปอลที่สอง ในสมณสาสน์พันธกิจพระผู้ไถ่ที่ว่า“เราไม่
อาจพึ่งพอใจได้ เมื่อเราพิจารณาถึงพี่น้องชายหญิงของเราอีกเป็นล้านๆ ที่เหมือนกับเราที่ได้รับการไถ่ด้วยพระโลหิตของพระคริสตเจ้า แต่พวกเขาดำเนินชีวิตแบบไม่ใส่ใจความรักของพระเจ้าเลย” (ข้อ 86) และพระองค์ก็กระตุ้นใจเราให้เราสนใจและทำให้พวกเขาเหล่านั้นตอบรับแผนในพระธรรมล้ำลึกและ พระเมตตาของพระเจ้า ในสารของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสโอกาสเทศกาลมหาพระ 2015ก็เร่งเร้า เราเช่นกันว่า “กลุ่มคริสตชนถูกเรียกให้ออกจากตัวเอง และติดต่อกับสังคมโลก”เพราะโดยธรรมชาติของ พระศาสนจักรคือธรรมทูต
ดังนั้น ผมเชื่อว่าถ้าเราบางคนมีน้ำใจเริ่มไปสู่ที่ใหม่ๆ เพื่อแบ่งปันความเชื่อ ออกจากสังคมและสิ่งแวดล้อมของตนเอง พวกเขาก็อาจจะเป็นผู้ปลูกผู้รดน้ำที่ดีได้เช่นกัน และพระเจ้าจะทำให้ความเชื่อนั้น เติบโตเอง และพระองค์ก็พร้อมจะส่งเราไปเสมอผ่านทางผู้ใหญ่ของพระศาสนจักร…คุณพร้อมหรือยัง?